the Dramatic Brain: สมองดราม่า
ระวัง เสพแต่ข่าวดราม่า พาสมองเสียหาย
ขอบตาคล้ำไหม สมองไม่ได้พัก ไม่ได้ผ่อน ร่างกายเพลียไม่ทราบเหตุ ข่าวลุงพล ข่าวฆ่ากันตาย ข่าวฟ้องร้องกัน ดราม่าไม่เว้นวัน มันมีผลต่อร่างกาย ไม่ว่าจะชาวเน็ตหรือเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ตามกระแส ย่ำแย่ ไม่แพ้กัน
พฤติกรรมพาสมองเสีย ร่างกายโรคเร้า
ในโลกที่โสตประสาทถูกเร้าด้วยข่าวสารที่แย่งชิงความสนใจของเราไม่เว้นแต่ละวัน ไม่สิ ไม่เว้นแต่ละนาที แน่นอนว่าประเด็นที่ดึงความสนใจ กระตุ้นความตื่นตัว และตื่นกลัว กระหายอยากรู้และติดตาม Dramatic News ใช่แล้ว ประเด็นดราม่า มันกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ เรากำลังเสพสื่อ หรือ สื่อกำลังเสพเรา
ผลของการเสพข่าวดราม่า สิ่งเร้า มีผลเสียกว่าที่เราคิด สมองส่วนอารมณ์ที่ถูกกระตุ้น เป็นสมองส่วนลึกโบราณ ที่เรียกว่า อะมิกดาลา amygdala จากวิวัฒนาการก่อนที่สมองส่วนตรึกตรองฟรอนทัล (frontal lobe) พัฒนา สมองส่วนนี้ คือสมองตอบสนองต่ออารมณ์ในการเอาตัวรอดโดยหลั่งสารเครียด คอร์ติซอล cortisol ในสัตว์นักล่านี่คือสมองส่วนที่ทำให้เกิดการล่าเหยื่อ ในเหยื่อ นี่คือสัญชาตญาณของการตื่นตัวและหนี แต่ในคน เรากำลังใช้สิ่งนี้เพื่อเป็นเครื่องมือของการตลาด ความชื่นชอบและผลประโยชน์ และกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์
Tribune brain สมองส่วนลึกที่รอคอยการกระตุ้น
แม้ว่าการแบ่งสมองในปัจจุบันจะมีความซับซ้อนสูง แต่ทฤษฎีการแบ่งสมองเป็นสามส่วนตามการพัฒนาและวิวัฒนาการที่เรียกว่า Tribune brain ก็ยังนำมาใช้เสมอ
Triune brain ถูกแนะนำโดยนักประสาทวิทยาชาวอเมริกัน พอล ดีเมคลีน ในปี ค.ศ. 1960 โดยเสนอส่วนประกอบของสมองตามวิวัฒนาการ (และมันก็เกี่ยวเนื่องไปจนถึงการพัฒนาการตามช่วงชีวิตมนุษย์ด้วย) โดยเค้าได้แบ่งสมองออกเป็น สมองส่วนสัตว์เลี้อยคลาน (reptilian complex) ได้แก่ สมองส่วน basal ganglia ที่คุมเฉพาะการเคลื่อนไหว สมองส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคต้น (paleomamalian comple) ได้แก่ สมองส่วน limbic system คุมอารมณ์และความจำ และ สมองส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุคใหม่ (neomamalian complex) หรือ สมองส่วน neocortex ส่วนสมองเปลือกที่มีความสามารถในการคิดตัดสินใจ และ ภาษา โดยสมองส่วนที่เก่าแก่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้า โดยไม่ได้ตรึกตรงและส่งผลบังคับไปยังพฤติกรรม และนี่คือเป้าหมายของข่าวสารดราม่า
ประสาทวิทยาดราม่าแอดดิก
ดราม่าแอดดิก (ไม่ใช่ชื่อเพจดังนะครับ) แต่คือพฤติกรรมการติดข่าวดราม่า มีผลต่อสมองและร่างกายอย่างคาดไม่ถึง เมื่อข่าวสารถูกบรรจุอยู่ในโทรศัพย์มือถือที่หยิบเสพได้ทุกเวลา แม้แต่เสี้ยวนาทีที่มีเวลาและสมองโล่งว่าง การเสพข่าวดราม่าจะการกระตุ้นสารคอร์ติซอลตลอดเวลามีผลต่อระบบร่างกาย จิตใจ สมอง จากการศึกษาด้วยการทำ functional MRI ที่ดูการทำงานของสมองพบว่า การเสพข่าวดราม่า ทำให้สมอง amygdala ที่เป็นสมองส่วนดึกดำบรรพ์ ถูกกระตุ้นต่อเนื่อง และการหลั่งคอร์ติซอลทำให้ สมาธิสั้น ความจำแย่ลง ความเครียดและวิตกกังวลมากขึ้น หากได้ลองสังเกต ตัวเองหรือคนรอบข้าง เราอาจเห็นความเป็นไปของสังคม ดึงเหล่าพลพรรคเสพข่าวดราม่า มาตอบสนองด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เครียดและตรึกตรองน้อยลงทุกวัน แต่เรากลับพิมพ์โต้ตอบ หรือ เลื่อนเสพไปอย่างไม่รู้ตัว
นอกจากเนื้อข่าวที่ไม่เป็นผลดีแล้ว การออกแบบแพลตฟอร์ม เราอยู่ในสังคมที่จะเป็นไปแบบไหน แบบที่เรากำลังจะส่งเสริมการเพิ่มประชากรเพราะสังคมกำลังล่มสลายด้านแรงงานอย่างนั้นหรือ
มันเหมือนจะเป็นเรื่องระดับ policy ที่ไม่สะท้อนแค่การเปลี่ยนแปลงแบบปัจเจกบุคคลนะ แต่มันเป็นเรื่องของพฤจิกรรมของคนที่อยู่เป็นสังคม สังคมที่ขับเคลื่อนไปตามคนหมู่มาก
จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสมองในเชิงการทำงานและโครงสร้างพบว่า สมองที่เสพข่าวดราม่า โดยเฉพาะข่าว negative drama หรือ ข่าวด้านลบ จะทำให้อารมณ์และการตัดสินใจแย่ลง ไม่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น (negative decision making process) ปัญหาคือ ดูเหมือนผู้ที่รู้ถึงผลเสียเหล่านี้ ตามไม่ทัน ศาสตร์และกระบวนการในการดึงความสนใจหนะสิ นี่เป็นเรื่องสำคัญเลยนะ