"มีความเศร้าบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการรู้มากเกินไป จากการเห็นโลกในแบบที่มันเป็นจริง ๆ มันเป็นความเศร้าที่มาจากการเข้าใจว่าชีวิตไม่ใช่การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงช่วงเวลาที่เล็กน้อยและไม่สำคัญ ว่าความรักไม่ใช่นิทาน แต่เป็นอารมณ์ที่เปราะบางและชั่วคราว ว่าความสุขไม่ใช่สภาวะถาวร แต่เป็นเพียงแวบหนึ่งของสิ่งที่เราจับไว้ไม่ได้ และในความเข้าใจนั้น ก็มีความเหงาลึกซึ้ง ความรู้สึกที่เหมือนถูกตัดขาดจากโลก จากผู้คนอื่น ๆ และจากตัวเอง" —เวอร์จิเนีย วูล์ฟ
หากใครได้อ่านคำกล่าวนี้ คำที่สวยงามราวกับสัมผัสจากก้นลึกของหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์และสิ่งที่ต้องเผชิญ ก็คงสงสัยว่า คนเขียนบรรยายราวกับเป็นแผ่นฟองน้ำที่ซึมซับเอาความจริงที่โหดร้ายของโลกอย่างลึกซึ้งและโดดเดี่ยว และนั่นก็เป็นการเข้าใจไม่ผิดเลย ศิลปิน เวอร์จิเนีย วูล์ฟ เอาใจเข้าเล่นกับอารมณ์ของโลกจนกัดกินตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าและยากเยียวยา
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ (Virginia Woolf) เป็นนักเขียนและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ผลงานของเธอมีความโดดเด่นในด้านสไตล์การเขียนที่ซับซ้อน ลึกซึ้ง และบรรยายความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจของตัวละคร ซึ่งมักสะท้อนถึงการต่อสู้ทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นอย่างมาก นักอ่านบางคนได้กล่าวไว้ว่า เธอบรรยายได้ราวกับเข้าไปนั่งท่ามกลางหัวใจของอารมณ์ที่อยู่ลึกสุดของใครคนนั้น
เวอร์จิเนียเกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1882 ในครอบครัวที่มีความรู้และมีบทบาทสำคัญในวงการวรรณกรรมแห่งอังกฤษ เธอเป็นบุตรของนักเขียนและนักวิจารณ์อย่าง Sir Leslie Stephen ความสนใจในด้านวรรณกรรมของเธอได้รับการสนับสนุนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยความสามารถพิเศษในการสังเกตและสะท้อนความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ผ่านบทความและนวนิยายที่เธอเขียน
ผลงานที่มีชื่อเสียงของวูล์ฟ ได้แก่ "Mrs Dalloway," "To the Lighthouse," และ "Orlando," ซึ่งผลงานเหล่านี้เป็นตัวอย่างของนวนิยายที่สะท้อนความคิดที่ลึกซึ้งและตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ ความทรงจำ และการเปลี่ยนแปลงของเวลา
เรื่องราวและผลงานของเธอไม่ได้สะท้อนแค่ความงดงามของการเขียน แต่ยังแฝงไปด้วยปรัชญาชีวิตที่เชื่อมโยงกับความทุกข์ ความเหงา และความหมายของการมีชีวิตอยู่
ผลงานของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทั่วโลกได้เรียนรู้และสำรวจความซับซ้อนของชีวิต ความเศร้า และความงามในความเปราะบางของมนุษย์
“การเข้าใจธรรมชาติและความโหดร้ายของมนุษย์ ที่ต่อมาได้กัดกินหัวใจอันแข็งแกร่งของเธอไป” หากเข้าใจซาตาน ต้องเอาหัวใจไว้กับซาตาน
ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต วูล์ฟประสบกับความเครียดและความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองและการสูญเสียคนใกล้ชิด รวมถึงความยากลำบากในการจัดการกับอาการทางจิตที่เธอประสบมาตลอดชีวิต เธอมีประวัติของการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและอาการทางจิตอื่น ๆ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง
ก่อนที่จะตัดสินใจฆ่าตัวตาย วูล์ฟได้เขียนจดหมายถึงสามีของเธอ เลโอนาร์ด วูล์ฟ (Leonard Woolf) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสิ้นหวังและความคิดที่ว่าเธอไม่สามารถฟื้นตัวจากความเจ็บป่วยทางจิตได้ ในจดหมายดังกล่าว เธอได้บอกเล่าถึงความรู้สึกของเธอที่ไม่อยากเป็นภาระให้กับคนที่รักอีกต่อไป
วันนั้นแห่งห้วงชีวิต วูล์ฟได้เดินออกจากบ้านในซัสเซ็กซ์ โดยใส่หินลงไปในกระเป๋าของเธอเพื่อช่วยถ่วงน้ำตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปยังแม่น้ำโอเซ (River Ouse) และกระโดดลงไปในน้ำ ร่างของเธอถูกพบเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1941 โดยเจ้าหน้าที่ หลังจากที่หายไปหลายสัปดาห์
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของนักเขียนที่สร้างสรรค์ผลงานที่ลึกซึ้งในขณะที่เธอต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า ความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และปัญหาทางสุขภาพจิตเช่นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรณีของวูล์ฟเท่านั้น นักเขียนและศิลปินจำนวนมาก เช่น เอ็ดการ์ อัลลัน โพ, เอิร์นเนสต์ เฮมิงเวย์ และ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ล้วนมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินที่ประสบความสำเร็จและต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง
งานวิจัยทางจิตวิทยาและประสาทวิทยาได้ให้ความสนใจอย่างมากในความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ศิลปินและนักเขียนมักมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับโรคซึมเศร้าในระดับที่สูงกว่าประชากรทั่วไป
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าปัจจัยหลายอย่างอาจทำให้ศิลปินมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหานี้มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือธรรมชาติของงานสร้างสรรค์ที่ต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ในมุมลึกซึ้งและซับซ้อน การขบคิดในเชิงปรัชญาและความหมายของชีวิตอาจเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์และอารมณ์ที่แปรปรวน
งานวิจัยจากสถาบัน Karolinska Institute ในสวีเดนพบว่า ผู้ที่มีอาชีพสร้างสรรค์ เช่น ศิลปิน นักเขียน และนักดนตรี มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับภาวะซึมเศร้าถึง 25% มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะในสาขาวรรณกรรมที่ต้องใช้การสะท้อนความคิดภายในตัวเองอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการเกิดปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) และโรควิตกกังวล
นอกจากนี้ สมองของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมักมีการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกับความเปราะบางทางจิตใจ
การศึกษาทางประสาทวิทยา (Neuroscience) ชี้ให้เห็นว่าสมองของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มักมีการทำงานในแบบที่แสดงความเชื่อมโยงกับอารมณ์ที่ซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง เช่น ระดับสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และโดปามีน (Dopamine) มักไม่สมดุลในคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีภาวะซึมเศร้า
นอกจากนี้ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลอารมณ์และการคิดเชิงนามธรรม อย่างเช่น "สมองส่วนหน้าซ้าย" (Left Prefrontal Cortex) และ "ระบบลิมบิก" (Limbic System) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอารมณ์และการตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งในศิลปินและนักเขียนที่มักใช้สมองส่วนนี้ในการสร้างสรรค์ผลงาน อาจทำให้พวกเขามีความไวต่ออารมณ์เชิงลบมากกว่าคนทั่วไป
การเข้าใจอารมณ์นักคิด และความเข้าใจโลกของศิลปินที่สอดแทรกตัวเองเข้าไปเข้าใจธรรมชาติ ทำให้เราต้องมาคิดคำนึงถึงการเข้าใจอีกด้านของโลกในแนวพุทธและการปล่อยวาง จึงทำให้หลุดออกจากความจริงที่โหดร้ายกลายเป้นแสงสว่างอีกด้านหนึง
#VirginiaWoolf #ชีวิตและวรรณกรรม #แรงบันดาลใจจากหนังสือ #วรรณกรรมคลาสสิก #ความเศร้าในชีวิต