ในเมืองเล็กๆ ที่สวยงามแปลกตาที่ตั้งอยู่ระหว่างเนินเขาสลับกับป่าที่ส่งเสียงกระซิบ มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ซึ่งได้เห็นการจากไปของเก้าทศวรรษที่ผ่านมา ขอเรียกคุณยายว่า “คุณยายคนนึง” ละกัน วิญญาณผู้อ่อนโยนซึ่งมีสติปัญญาล้ำลึกพอๆ กับริ้วรอยบนใบหน้าของเธอที่ผุกร่อน
บ่ายวันหนึ่งที่สดใสของฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่ใบไม้เต้นรำเพลงวอลทซ์สุดท้ายก่อนถึงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง “คุณยายคนหนึ่ง” นั่งอยู่ริมหน้าต่างกระท่อมอันแสนสบายของเธอ ความคิดของเธอล่องลอยไปราวกับลมกระโชกในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงสีทองไปทั่วห้อง ดูเหมือนเธอจะหลงอยู่ในโลกที่อยู่ระหว่างความทรงจำและภวังค์
ประตูเปิดออกดังเอี๊ยด และอาจารย์หมอก้าวเข้ามาเยี่ยมไข้ ชายหนุ่มผู้มีสายตาใจดีและมีจิตใจอยากรู้อยากเห็น เขามักจะขอคำแนะนำจาก“คุณยายคนหนึ่ง”บ่อยครั้ง โดยดึงดูดเข้าหาบ่อเกิดแห่งปัญญาที่ดูเหมือนจะหลั่งไหลออกมาจากเธอในทุกคำพูด
“คุณยายคนหนึ่ง สวัสดีครับ” เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงใบไม้ที่ร่วงหล่น “อจ.ขอนั่งกับคุณยายสักพักได้ไหม?”
ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “คุณยายคนหนึ่ง” ชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ว่างข้างๆ เธอ "แน่นอน คุณหมอที่รัก อะไรทำให้คุณมาที่นี่ในวันที่สวยงามเช่นนี้"
อจ.หมอ นั่งลง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคารพและความห่วงใย “ฉันได้ยินเสียงกระซิบในหมู่บ้าน คุณยาย เสียงกระซิบของความเหนื่อยล้าของคุณ ความปรารถนาที่จะจากโลกนี้”
ตาของ “คุณยายคนหนึ่ง” สบกันกับ อจ หมอ และแม้ว่าดวงตาของเธอจะพร่าเลือนและเปลือกตาก็หนักและหย่อยคล้อย แต่กลับเปล่งประกายด้วยแสงจากภายใน “อา เสียงกระซิบแห่งวัยชรา” เธอครุ่นคิด “แต่อย่ากังวลไปเลยคุณหมอ วิญญาณของฉันอาจจะแก่แล้ว แต่ก็ยังเดินอย่างช้า ๆ ไปตามจังหวะของชีวิต”
อาจารย์หมอ ขมวดคิ้ว ความอยากรู้อยากเห็นของเขาป่องๆ “แล้วทำไมล่ะคุณย่า? ทำไมต้องพูดถึงการจากไปในเมื่อโลกนี้ยังมีความสวยงามอยู่มากมาย”
ถอนหายใจเบาๆ หลุดออกจากริมฝีปากของ “คุณยายคนหนึ่ง” พร้อมคำพูด
ที่พร้อมไปด้วยการไตร่ตรองในช่วงชีวิตไว้ด้วย “เห็นไหม อจ หมอ ที่รัก” เธอเริ่มด้วยเสียงท่วงทำนองอันอ่อนโยนที่ถักทอด้วยสายใยแห่งความหยั่งรู้อันลึกซึ้ง “เวลาที่ผ่านไป มันจารึกตอกลงในร่างกายที่ทรุดโทรมลงทีละหน่อย ร่างกายของฉันเหมือนเปลือกไม้ และอายุก็สลักแก่นวงปีไว้ ถึงแม้วิญญาณจะยังลุกโชนเท่าใด แต่มันก็ไม่อาจอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ได้”
อจ. หมอ พยักหน้า หัวใจของเขาหนักอึ้งด้วยความเข้าใจ
รอยยิ้มของ“คุณยายคนหนึ่ง” เป็นเหมือนสัญญาณในยามพลบค่ำ ส่องสว่างในความมืดด้วยความเปล่งประกายอันอ่อนโยน
“แล้วคุณย่าไม่กลัวความตายเหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเสมือนไม่อยากให้ขนนกกระดิกจากลมที่ออกจากคำพูด
“คุณยายคนหนึ่ง” ส่ายหัว ดวงตาของเธอสะท้อนถึงส่วนลึกอันไม่มีที่สิ้นสุดของจักรวาล “ไม่ หรือคุณหมอ เพราะความตายเป็นเพียงบทสุดท้ายของเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของการดำรงอยู่ ประตูที่เราทุกคนต้องผ่านไป และแม้ว่าการเดินทางจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ก็ยังเต็มไปด้วยสิ่งที่รอสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ "
ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทอดเงายาวไปทั่วห้อง อจ. รู้สึกถึงความสงบสุขที่ปกคลุมเขาราวกับกระแสน้ำที่อ่อนโยน เพราะด้วยภูมิปัญญาของ“คุณยายคนหนึ่ง” เขาได้พบกับความปลอบใจท่ามกลางกระแสน้ำที่หมุนวนของชีวิต
และในขณะที่พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางแสงที่จางหายไป ล้อมรอบด้วยเสียงสะท้อนของคนรุ่นก่อนและเสียงกระซิบแห่งอนาคตที่ยังไม่คลี่คลาย พวกเขาโอบรับความงดงามของช่วงเวลาปัจจุบัน โดยรู้ว่าแม้ในคืนที่มืดมนที่สุด ดวงดาวก็ยังคงส่องแสงเจิดจ้า