ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว องค์กรต้องมีการปรับตัวและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ การพัฒนาและการปรับปรุงที่ไม่หยุดนิ่งจึงเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืน ในเรื่องของการพัฒนา การทำนวัตกรรม มีความเกี่ยวข้องกันเป็นเกลียวเรียงร้อย แต่ละคำที่ใช้เป็นกระบวนการพัฒนา มีความหมายแตกต่างกัน เช่น การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง (Continuous Quality Improvement, CQI), นวัตกรรมแบบสำรวจและใช้ประโยชน์ (Exploration/Exploitation Innovation), และนวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป/แบบพลิกโฉม (Incremental/Radical Innovation) แนวคิดเหล่านี้ เป็นแนวคิดที่สำคัญในการพัฒนาองค์กร บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดเหล่านี้
การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง (CQI)
การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง (Continuous Quality Improvement: CQI) เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกระบวนการอย่างสม่ำเสมอ โดยการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย CQI มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพขององค์กร โดยมุ่งเน้นที่การลดของเสียและความไม่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และการมีส่วนร่วมของสมาชิกทุกคนในองค์กร CQI ยังเน้นการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลและการวิเคราะห์สถิติ ซึ่งช่วยให้การปรับปรุงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
ตัวอย่างของ CQI ที่ประสบความสำเร็จได้แก่ การปรับปรุงกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้แนวคิดของ Deming Cycle (PDCA: Plan-Do-Check-Act) ที่ถูกพัฒนาโดย W. Edwards Deming ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการคุณภาพ ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาแบบ CQI เป็นพัฒนาที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งองค์กร ทุกๆ กระบวนการ ตั้งแต่กสรปรับปรุง ประสิทธิภาพ การปรับปรุงระยะเวลา การลดความเสี่ยง ดังนั้น การพัฒนา แบบ CQI อาจใช่ หรือ ไม่ใช่การทำนวัตกรรมก็ได้
รูปแบบการพัฒนา vs ผลลัพย์ (Activity and Outcome)
นวัตกรรมแบบสำรวจและใช้ประโยชน์ (Exploration/Exploitation Innovation)
นวัตกรรมแบบสำรวจและใช้ประโยชน์เป็นคำที่บ่งบอกแนวทางหรือกิจกรรมของหน่วยงานที่ต้องการสมดุลระหว่างการค้นหาโอกาสใหม่ๆ และการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว การสำรวจ (Exploration) หมายถึงการค้นหาความรู้ แนวคิด หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการยอมรับความเสี่ยงและการทดลอง การสำรวจมีเป้าหมายที่ศักยภาพในระยะยาวและมักนำไปสู่นวัตกรรมแบบพลิกโฉม
ในทางกลับกัน การใช้ประโยชน์ (Exploitation) หมายถึงการปรับปรุงและขยายความรู้และความสามารถที่มีอยู่แล้ว โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการที่มีอยู่ การใช้ประโยชน์มีเป้าหมายที่ผลลัพธ์ในระยะสั้นและมักนำไปสู่นวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป
ตัวอย่างของการสำรวจที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น การค้นพบยาใหม่ที่สามารถรักษาโรคที่ไม่เคยมีการรักษามาก่อน ซึ่งมีผลกระทบในระยะยาวอย่างมาก ในขณะที่การใช้ประโยชน์อาจเห็นได้จากการปรับปรุงกระบวนการผลิตยาที่มีอยู่แล้วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน
คำนี้ เป็นคำที่หมายถึงกระบวนการพัฒนาและการทำนวัตกรรม
นวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป/แบบพลิกโฉม (Incremental/Radical Innovation)
นวัตกรรมสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักคือ นวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental Innovation) และนวัตกรรมแบบพลิกโฉม (Radical Innovation)
นวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไปหมายถึงการทำการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกระบวนการที่มีอยู่แล้ว ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำและสามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาสั้นๆ นวัตกรรมประเภทนี้เป็นการพัฒนาที่ต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงฟังก์ชันของสมาร์ทโฟนในแต่ละปี เช่น การเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปหรือการปรับปรุงประสิทธิภาพของแบตเตอรี่
ในทางตรงกันข้าม นวัตกรรมแบบพลิกโฉมเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกระบวนการที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่มีอยู่เดิม ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้เวลานานในการพัฒนา แต่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมและตลาดทั้งหมด ตัวอย่างของนวัตกรรมแบบพลิกโฉม ได้แก่ การเปิดตัวสมาร์ทโฟนเครื่องแรก ซึ่งเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้งานโทรศัพท์มือถือและการสื่อสารอย่างสิ้นเชิง
ผู้คิดค้นแนวคิดนวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไปและแบบพลิกโฉมคือ Clayton Christensen ศาสตราจารย์จาก Harvard Business School ที่มีชื่อเสียงจากหนังสือ "The Innovator's Dilemma" ซึ่งอธิบายถึงวิธีที่นวัตกรรมทั้งสองประเภทนี้สามารถส่งผลต่อองค์กรและอุตสาหกรรม
คำนร้เป็นคำที่เน้นถึงผลลัพย์ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการหรือผลิตภัณฑ์
ภาพด้านบน เป็นภาพแสดงความสัมพันธ์ของกิจกรรมการพัฒนา และ การนำไปสู้ผลลัพย์
จะเห็นได้ว่า กิจกรรมที่พัฒนา มีการไขว้กับผลลัพย์ที่จะเกิด นั่นแสดงว่า exploreation อาจไม่จำเป็นต้องเป็น นวัตกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดเสมอไป อาจเป็นการค้นหานวัตกรรมใหม่ ๆ นอกเหนือจากที่มีอยู่ แต่นำมาสู่การพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ในทางกลับกัน การพัฒนา แบบ exploitation อาจมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากก็ได้เช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น การพัฒนา iPhone โดย Apple
Apple ได้ใช้ประโยชน์จากความรู้และความสามารถที่มีอยู่แล้วในด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและ iPod เพื่อเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือ โดยการผสมผสานและปรับปรุงเทคโนโลยีที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่แล้ว (หน้าจอสัมผัส, ระบบปฏิบัติการมือถือ, การเล่นสื่อดิจิทัล) พวกเขาได้สร้างนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด นั่นคือสมาร์ทโฟนยุคใหม่ ซึ่งได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมมือถือทั้งหมด
ส่วนตัวอย่างของการพัฒนาแบบ exploration (การสำรวจ) ที่นำไปสู่ผลลัพธ์แบบ incremental innovation (นวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป):
เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี OLED ในอุตสาหกรรมจอแสดงผล
การสำรวจ (Exploration): บริษัทผู้ผลิตจอแสดงผลได้ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี OLED (Organic Light-Emitting Diode) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่แตกต่างจาก LCD ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป การวิจัยนี้เป็นการสำรวจเทคโนโลยีใหม่ที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในเชิงพาณิชย์
ผลลัพธ์แบบ Incremental Innovation: แม้ว่าเทคโนโลยี OLED จะเป็นการสำรวจนวัตกรรมใหม่ แต่การนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์จริงเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เริ่มจากการใช้ในจอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น ในโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทวอทช์ ปรับปรุงคุณภาพของสีและความคมชัดทีละน้อย ขยายขนาดจอแสดงผลขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถใช้ในโทรทัศน์ได้ และพัฒนาเทคนิคการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มอายุการใช้งานทีละขั้น
แม้ว่าเทคโนโลยี OLED จะเป็นการสำรวจนวัตกรรมใหม่ แต่การนำมาใช้จริงและการพัฒนาในเชิงพาณิชย์เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตลาดอย่างฉับพลัน แต่ค่อยๆ ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ ซึ่งเป็นลักษณะของ incremental innovation
ความสัมพันธ์และความแตกต่าง
แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ก็มีความสัมพันธ์และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ CQI มักเกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์และนวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงทีละเล็กทีละน้อย การใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจของลูกค้า ในขณะเดียวกัน การสำรวจและนวัตกรรมแบบพลิกโฉมมักมีความเสี่ยงสูงและมีศักยภาพที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
องค์กรที่ประสบความสำเร็จมักจะต้องมีการผสมผสานระหว่างการใช้ประโยชน์และการสำรวจ รวมถึงการปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปและการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการปรับปรุงระยะสั้นและการเปลี่ยนแปลงระยะยาว การทำความเข้าใจและการนำแนวคิดเหล่านี้มาใช้จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวและพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ในบทความของ "Harvard Business Review" ได้กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างสมดุลระหว่างการสำรวจและการใช้ประโยชน์ โดยอธิบายว่าองค์กรที่สามารถทำทั้งสองสิ่งนี้ได้ดีจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาวมากกว่าองค์กรที่มุ่งเน้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง, นวัตกรรมแบบสำรวจและใช้ประโยชน์, และนวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป/แบบพลิกโฉม เป็นแนวคิดที่สำคัญในการพัฒนาองค์กร การทำความเข้าใจและการประยุกต์ใช้แนวคิดเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้องค์กรสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
การพัฒนาและนวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในยุคปัจจุบัน องค์กรที่สามารถปรับตัวและนำแนวคิดต่างๆ มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีโอกาสในการแข่งขันและประสบความสำเร็จในระยะยาว การทำความเข้าใจและการนำแนวคิดการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง, นวัตกรรมแบบสำรวจและใช้ประโยชน์, และนวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป/แบบพลิกโฉมมาใช้ จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวข้ามความท้าทายและสร้างความสำเร็จในอนาคต