เราคิดว่า เจฟฟ์ เบโซส มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งแอมะซอน ตอนเช้าเขาทำอะไร เราอาจจินตนาการว่า เขาตื่นขึ้นมา ต้องตอบ email ที่คั่งค้าง มาคลี่ตาราง to do list สำหรับนัดหมายประจำวัน อ่านข่าวหุ้นที่วิ่งขึ้นลงไปตาม graph ไหม นั่นก็เป็นเช้าที่เราเห็น business man ทำกันเป็นประจำนี่
เเต่เปล่าเลย เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่นแล้วคว้าโทรศัพท์เพื่อเช็คอีเมลทันทีเหมือนซีอีโอหลายคน เขาใช้เวลาในตอนเช้า “เดินเตร็ดเตร่” ใช่เล้ว “เดินเตร็ดเตร่” หากใครไม่ว่าเดินเตร็ดเตร่คืออะไร ให้ลองจินตนาการว่า เราไปสัมภาษณ์งานแล้วโดนปฎิเสธ มันไวกว่าที่คิด รถเมล์ที่รอกลับบ้านก็ต้องใช้เวลาอีกกว่า ชั่วโมง เดินไปเรื่อย ๆ ดีกว่า นั่นแหละ เตร็ดเตร่ มองชมนก ชมไม้ ชมอะไรรอบ ๆ ตัว ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องมีจุดหมายเยอะ
นอกจากนี้ เขายังจิบกาแฟอุ่นๆ พลิกอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับกระดาษ และพูดคุยกับครอบครัวอย่างไม่เร่งรีบ โดยมีกฎเหล็กข้อหนึ่ง: ห้ามแตะโทรศัพท์ในชั่วโมงแรกของวัน
ในปี 2561 เบโซสเล่าเรื่องนี้ในงานปาฐกถาที่ Economic Club of Washington เขากล่าวว่า “ผมชอบใช้เวลาช่วงเช้าแบบช้าๆ มันให้พลังงานและทำให้ผมตัดสินใจได้เฉียบคมตลอดทั้งวัน” ล่าสุด ลอเรน ซานเชซ คู่หมั้นของเขา ยืนยันกับ People ว่า “เราไม่แตะโทรศัพท์เลยจริงๆ นั่นคือกฎที่เราใช้” สิ่งที่ดูเหมือนเป็นแค่ความชอบส่วนตัวนี้ กลับมีรากฐานจากวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่น และงานวิจัยล่าสุดพิสูจน์ว่าเขาคิดถูก
สมองเปลี่ยนชีวิตเมื่อเจอหน้าจอมากเกินไป
ลองนึกถึงเช้าวันธรรมดาของคุณ คุณตื่นมาแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูโซเชียลมีเดียทันที มันอาจรู้สึกสนุก แต่ถ้าทำแบบนี้ทุกวันล่ะ? มันกลายเป็น habit พฤติกรรมที่เปลี่ยนสมอง สุขภาพและร่างกาย แน่นอนว่า มันกระทบชิ่งไปยังชีวิตกระจำวันอื่น ๆ เหมือนโดมิโน
Maris Loeffler จาก Stanford Lifestyle Medicine Program เตือนว่า “ถ้าคุณเลื่อนโทรศัพท์บนเตียงแค่ชั่วโมงเดียวในเช้าวันเดียว ผลกระทบอาจไม่มาก แต่ถ้ามันกลายเป็นนิสัย วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า มันจะทำร้ายคุณได้”
การศึกษาใน UK Biobank ปี 2566 ติดตามผู้ใหญ่ประมาณ 473,184 คน ที่เริ่มแรกไม่มีภาวะสมองเสื่อม พาร์กินสัน หรือซึมเศร้า โดยใช้แบบจำลอง Cox proportional hazards regression พบว่าการดูหน้าจอที่มากเกินไป (4+ ชั่วโมง/วัน) เพิ่มความเสี่ยงต่อสมองเสื่อม 28% ซึมเศร้า 35% และพาร์กินสัน 16%
นอกจากผลต่อสมอง การใช้หน้าจอมากเกินไปยังเชื่อมโยงกับอาการปวดตา การนอนไม่หลับ และปวดหลัง Loeffler เปรียบเทียบการใช้หน้าจอแบบเฉยๆ ว่า “เหมือนกินน้ำตาลให้สมอง มันอร่อยแต่ไม่มีสารอาหาร” และถ้าคุณเริ่มวันด้วย “น้ำตาล” แทน “อาหารเช้าที่ดี” สมองของคุณจะอ่อนล้าตั้งแต่เช้า
กฎ 1 ชั่วโมง
เบโซสอาจไม่ได้อ่านงานวิจัยเหล่านี้ตอนที่เขาตั้งกฎให้ตัวเอง แต่สิ่งที่เขาทำสอดคล้องกับคำแนะนำจาก Stanford Lifestyle Medicine Program ที่ระบุว่า “งดใช้หน้าจอในชั่วโมงแรกของวัน” แล้วเราควรทำอะไรแทน? นี่คือทางเลือก ที่ แนะนำ
* ออกกำลังกาย - การศึกษาใน Journal of Applied Physiology ปี 2563 พบว่าการออกกำลังกายตอนเช้า 30 นาทีเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง 20% ช่วยให้ตื่นตัวและจดจำได้ดีขึ้น
* นั่งสมาธิ - งานวิจัยจาก Mindfulness ปี 2562 แสดงว่าการนั่งสมาธิ 10 นาทีลดระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ลง 25% ทำให้สมองปลอดโปร่ง
* อ่านหนังสือ - การศึกษาใน Cognitive Science ปี 2564 พบว่าการอ่านหนังสือกระดาษ 15 นาทีช่วยเพิ่มสมาธิได้ดีกว่าการเลื่อนโทรศัพท์ถึง 30%
ชีวิตเรามีใหม่ได้ทุกวัน การเริ่มวันแบบช้าๆ คือการลงทุนในตัวเอง นะครับ
#ชีวิตเช้า #กฎ1ชั่วโมง