วันหนึ่ง ลูกศิษย์ บอกว่า อจ สอนเขียนบทความ ให้ความรู้คนอื่น ให้หน่อย
"จงสอน สิ่งที่ เราอยากรู้เมื่อเรายังเด็กกว่านี้ ไม่มีความรู้อะไร ช่วยเหลือให้เราดีขึ้น"
Teach younger you. สอนคนอื่น เหมือนสอนตัวเองที่ยังเยาว์วัย ไร้เดียงสา
แค่นี้
- อจ สุรัตน์
วันหนึ่ง ลูกศิษย์ บอกว่า อจ สอนเขียนบทความ ให้ความรู้คนอื่น ให้หน่อย
"จงสอน สิ่งที่ เราอยากรู้เมื่อเรายังเด็กกว่านี้ ไม่มีความรู้อะไร ช่วยเหลือให้เราดีขึ้น"
Teach younger you. สอนคนอื่น เหมือนสอนตัวเองที่ยังเยาว์วัย ไร้เดียงสา
แค่นี้
- อจ สุรัตน์
ในแต่ละวัน เราฟังคนอื่นบ่นมามากแค่ไหน บางคนบอกว่ามาก บางคนบอกว่า ชั้นสิ เป็นคนที่บ่นมากกว่า
มันได้ระบาย ความอัดอั้นตันใจ บ่นแล้วสมองโล่ง ว่างั้น
มีครั้งนึง คนขี้บ่นบอกว่า เมื่อบ่นบางอย่างออกไป สมอง ความคิด ความรู้สึกน่าจะโล่ง ส่วนคนที่รับฟัง จะเบื่อหรือจะตั้งใจฟัง ก็เป็นเรื่องของคนฟัง เหมือนการเขวี้ยงขยะลงในถังขยะ ที่เราก็ไม่ได้สนใจว่า คนจะเอาขยะไปทิ้งที่ไหนต่อ สบายใจดี
แต่การบ่นมันดีต่อใจจริงเหรอ?
ต้องบอกว่า มันเป็นความคิดที่ผิด
“การบ่นเหมือนการระบาย แต่บ่อยครั้งมันยิ่งทำให้เราหงุดหงิดมากขึ้น” ดร.เบิร์นสตีน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง กล่าว และมีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันเรื่องนี้
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cerebral Cortex แสดงให้เห็นว่า **การบ่นซ้ำ ๆ จะกระตุ้นและเสริมสร้างเส้นทางประสาทในสมองที่เกี่ยวข้องกับความคิดเชิงลบ นั่นหมายความว่า ยิ่งเราบ่นมากเท่าไร สมองก็จะยิ่ง "คุ้นชิน" กับรูปแบบความคิดแบบนั้นมากขึ้น เป็นเหมือนการ “ปูทาง” ให้สมองเลือกความคิดในแง่ร้ายได้ง่ายและบ่อยขึ้น
หลักการนี้คล้ายกับการฝึกกล้ามเนื้อ หากเราออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนใดซ้ำ ๆ กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็จะแข็งแรงขึ้น ในทางเดียวกัน **การใช้เส้นทางประสาทบางเส้นทางซ้ำ ๆ จะทำให้มันถูกเสริมสร้างและกลายเป็นอัตโนมัติ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Neuroplasticity หรือ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง
การหมุนวนอยู่กับปัญหาเดิม ๆ แบบไม่หาทางออกหรือไม่ยอมรับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มันจะกลายเป็น "rumination" หรือ **การครุ่นคิดซ้ำ ๆ ที่เป็นอันตรายทางจิตใจ**
นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “toxic venting” คือการระบายที่ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น แต่กลับตอกย้ำความรู้สึกแย่ เช่น
- ยิ่งพูดยิ่งโกรธ
- ยิ่งเล่า ยิ่งรู้สึกเป็นเหยื่อ
- ยิ่งแชร์ ยิ่งเสพติดการได้รับความเห็นใจ
ดร.เจฟฟรีย์ เบิร์นสตีน นักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี เสนอวิธีแก้ไขง่าย ๆ แต่ทรงพลัง นั่นคือ การถามตัวเอง (หรือถามลูก) ว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?”
น่าสนใจไหม คำถามสั้น ๆ แค่นี้ เปลี่ยนความคิดได้เหรอ
การถามว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เป็นการกระตุ้นให้เกิด การมองใหม่ (Cognitive Reappraisal) ซึ่งเป็นเทคนิคทางจิตวิทยา ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าช่วยคุมอารมณ์ได้ เพราะเป็นการบอกว่า มันมีมุมมองเปรียบเทียบ เปิดใจให้กว้าง ความทุกข์เรา มันปะติ๋วนะ
ตัวอย่าง
เด็กชายที่บ่นเรื่องอาหารกลางวัน: เมื่อแม่ถามเขาว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เด็กชายเริ่มคิด และตอบว่า “ก็มีเด็กบางคนที่ไม่มีอาหารกลางวันกินเลย” แม้เขาจะยังไม่ชอบแซนด์วิชไก่งวง แต่ความรู้สึกขอบคุณที่เกิดขึ้นช่วยลดความหงุดหงิดลงได้
เด็ก ๆ เรียนรู้ผ่านการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory)
“พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่เรียนรู้ได้จากการสังเกตและเลียนแบบ”
ดังนั้น หากผู้ใหญ่สามารถฝึกตั้งคำถาม “เมื่อเทียบกับอะไร?” แทนการบ่นให้เป็นนิสัย เด็ก ๆ ก็จะซึมซับวิธีคิดที่ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์นี้เช่นกัน
ลองดูคำถามกับผู้ใหญ่กัน
ผู้ใหญ่ที่กำลังเผชิญกับความผิดหวังในอาชีพ ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ความวิตกเรื่องอายุ ก็สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เช่นกัน
เช่น ชายคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อถามตัวเองว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เขาพบว่ากำลังเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เลือกเส้นทางชีวิตต่างออกไป ซึ่งไม่ได้ดีกว่าเสมอไป นั่นสิ ความสุขมันก็ไม่ได้วัดจากการที่สูญเสีย ณ.เวลานั้น
เห็นไหม คือ ก็ไม่ได้ ว่าหุบปากห้ามบ่นเลย แต่หากมันบ่น จนเป็นนิสัยขี้บ่น มันยิ่งแย่ต่อสมองและจิตใจ ของคนบ่นเอง
อจ สุรัตน์
เนื้อหาจาก video >> https://www.youtube.com/watch?v=vJ_zQEeU1ag
เบื้องหลังทุกคน เบื้องหลังทุกบริษัท เบื้องหลังทุกสิ่งมีเรื่องราวของการไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร เรื่องราวที่เกี่ยวข้องมากที่สุดเชื่อมโยงกันในระดับส่วนตัว ฉันชื่อ Beth Comstock ฉันเป็นผู้นำด้านการตลาดและนวัตกรรมที่ GE พนักงานมีทางเลือกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เราทุกคนเต็มไปด้วยตัวเลือกว่าจะจัดสรรเวลาไว้ที่ใด ในโลกที่มีเครื่องจักรที่พูดคุย และผู้คนพูดคุยผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น ความสามารถในการทำให้สิ่งต่าง ๆ ง่ายขึ้นเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณเป็นบริษัทหรือองค์กรที่ต้องการเล่าเรื่องอย่างไรให้เป็นที่จดจำ
เมื่อคุณมีเรื่องราวที่ซับซ้อนมากที่จะพูดถึง ฉันพบว่าบ่อยครั้งในธุรกิจเรามักใช้การจัดการทางการเงินเชิงคณิตศาสตร์เชิงตรรกะ แต่ความจริงก็คือคุณต้องมีเรื่องราวเพื่อเชื่อมต่อกับบุคคล เชื่อมต่อกับลูกค้า เชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ เราต้องการทราบว่าผ้าของเรามาจากไหน วัสดุในนาฬิกาของเรามาจากไหน และเครื่องยนต์ไอพ่นของเรามาจากไหน เราต้องการเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อพาเราไปยังจุดที่เราอยู่
คุณไม่สามารถขายอะไรได้จนกว่าคุณจะเข้าไปในใจของใครบางคน เราได้พูดคุยเกี่ยวกับส่วนแบ่งการตลาด แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการได้รับส่วนแบ่งทางความคิด การเข้าไปในจิตใจของผู้คน และสร้างเรื่องราวสำหรับสิ่งที่เป็นไปได้ หากคุณเริ่มต้นด้วยสมมติฐานว่าบริษัทของคุณสามารถเป็นนักเล่าเรื่องได้ คุณจะพบนักเล่าเรื่องได้ทุกที่ ฉันพบว่านักเล่าเรื่องที่เก่งที่สุดของเราบางคนเป็นวิศวกร คุณต้องการสร้างกลุ่มที่เก่งในการแปล พวกเขารู้วิธีที่จะกระตุ้นความหลงใหลในใครบางคนเพื่อให้พวกเขาเล่าเรื่องราวของพวกเขา
คุณต้องการเชื่อมต่อกับผู้คนและสื่อสารข้อความที่ต้องการสื่อออกไป การเล่าเรื่องคือการพาผู้คนไปยังสถานที่อื่น เชื่อมต่อกับความรู้สึกนึกคิด จำไว้ว่าตอนคุณยังเป็นเด็กเมื่อคุณมีจินตนาการที่พุ่งพล่าน มองเห็นเครื่องบินในเที่ยวบิน หรือเห็นรถไฟและเริ่มคิดถึงวิธีจินตนาการแบบนี้ ในการเล่าเรื่องคุณต้องเชื่อมต่อและมีข้อความที่ต้องการสื่อ มันเป็นศิลปะที่ว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกี่ยวข้อง
ตัวอย่างเช่น คุณอาจพูดถึงเครื่องยนต์ไอพ่นที่เรากำลังทำให้วัสดุมีน้ำหนักเบากว่าที่เคยเป็นมาถึง 90% ทำไมคุณถึงต้องสนใจ? เพราะมันช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบางทีคุณอาจสนใจเกี่ยวกับโลกที่สะอาดขึ้น
การเล่าเรื่องเป็นการเชื่อมต่อกับผู้คนที่ค้นพบคุณค่าในเรื่องราวของคุณ และแบ่งปันในธุรกิจ คุณจะได้รับผลตอบแทนทางการเงิน แต่ที่สำคัญกว่านั้น หากคุณเปิดใจกว้างพอ และผู้คนเข้าใจและเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของคุณ การค้าและการเชื่อมต่อในระดับมนุษย์จะติดตามมา ผู้คนไม่ต้องการถูกขาย พวกเขาต้องการได้รับแรงบันดาลใจ และคุณต้องต่อสู้อย่างแท้จริงเพื่อสิ่งนั้น
ทุกคน ทุกบริษัท และทุกสิ่งล้วนมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เชื่อมโยงกัน
ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยตัวเลือกและเทคโนโลยี การเล่าเรื่องที่เข้าใจง่ายมีความสำคัญมาก
การเล่าเรื่องช่วยสร้างการเชื่อมต่อระหว่างบุคคล ลูกค้า และผลิตภัณฑ์
ผู้คนต้องการทราบที่มาของสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น เสื้อผ้า นาฬิกา หรือแม้แต่เครื่องยนต์ไอพ่น
การตลาดที่แท้จริงคือการเข้าถึงจิตใจของผู้คน ไม่ใช่แค่การขาย
บริษัทควรส่งเสริมให้พนักงานทุกคนเป็นนักเล่าเรื่อง โดยเฉพาะวิศวกรที่มีความรู้เชิงลึก
การยอมรับตัวตนและค้นหาความงดงามในสิ่งที่ทำ จะช่วยสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ
การใช้จินตนาการแบบเด็กๆ สามารถช่วยในการเล่าเรื่องและสร้างแรงบันดาลใจได้
เรื่องราวที่ดีควรเชื่อมโยงกับผู้ฟังและอธิบายว่าทำไมสิ่งนั้นถึงมีความสำคัญ
การเล่าเรื่องที่ดีจะนำไปสู่ผลตอบแทนทางธุรกิจ เพราะผู้คนจะเข้าใจคุณค่าและแบ่งปันต่อ
ผู้คนต้องการแรงบันดาลใจมากกว่าการถูกขาย การเชื่อมโยงในระดับมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบริษัท
สรุป: การเล่าเรื่องที่เข้าใจง่ายและสร้างแรงบันดาลใจเป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างความสัมพันธ์ และประสบความสำเร็จทางธุรกิจในโลกปัจจุบัน