Filtering by Tag: Business

Ex-Cham - Mission 1 : The beginning and the mission

Added on by Surattanprawate.

ผมเคยดูหนังการ์ตูนเรื่อง One piece คิดถึงโจรสลัดหมวกฟางกับผองเพื่อนที่ต้องลงเรือลำเดียวกัน ออกผจญภัยไปยังท้องทะเลกว้าง มันสนุกและตื่นเต้นจนอดคิดไม่ได้ว่า หากในชีวิตจริงจะมีเรือสักลำสำหรับตัวเอง ให้บรรดาเหล่าผู้กล้าหาญที่มีพลังวิเศษมาลงเรือผจญภัยร่วมกัน คงมีประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้และสนุกไม่น้อย

และนั่นก็ทำให้เข้าร่วมโปรแกรม Ex-Cham เป็นโปรแกรม Executive leadership ที่มีระดับ C-level มารวมกันเพื่อค้นหาประสบการณ์ใหม่และเรียนรู้ร่วมกัน

จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ไม่รู้นะ แต่ผมมองเข็มกลัดที่ถูกออกแบบมาสำหรับผู้เข้าร่วมโปรแกรมนี้เป็นรูปกระโดงเรือ ใช่สิ คิดว่าต้องใช่แน่ ๆ ปกติผมเดาอะไร ไม่ค่อยผิดหรอกนะ หรือหากไม่ใช่ ก็อาจจะใกล้เคียง มันอาจเป็นเกลียวคลื่นที่พวกเรากำลังต้องฝ่าฟันก็เป็นได้และจากการสังเกตในแว้บแรก ผมก็เห็นผู้เข้าร่วมโครงการคนอื่นมีท่าไม้ตายส่วนตัวประจำเหมือนโจรสลัดกันทั้งนั้น

Ex-Cham Pin

เรือโจรสลัดแห่ง One Piece

เอาหละ จากนี้ไป ผมจะเรียกโปรแกรมนี้ว่าการผจญภัยก็แล้วกัน เพื่อให้มีอรรถรสหน่อย และ 13 คนที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ ก็คิดว่า น่าจะชอบผจญภัยเหมือนกัน

ได้คุยกับน้อง ๆ ก่อนเข้า introduction สู่การผจญภัยครั้งนี้ มีหลายคนก็รู้จักกันมาบ้าง แต่เมื่อเข้าร่วมบทนำ อจ.อ้วน ที่ปรึกษาโปรแกรมบอกว่า ต่อไปนี้ให้เรียกทุกคนว่า “พี่” เออแปลกดี ปกติเรียกตัวเองว่า อาจารย์ เรียกคนอื่นว่าน้อง แต่ อจ.อ้วนบอกว่า มันทำให้ทุกคนเสมอภาคกัน

Mission: จุดหมายและการค้นพบ

ใน introduction ของ program ได้มีการกำหนด mission ต่าง ๆ เพื่อผู้เข้าร่วมได้เข้าร่วมพร้อมกัน และมีการ dinner พูดคุย เมื่อจบ mission นั้น ๆ

และ mission แรก ของวันนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ อจ อ้วนเอง ไม่สิ ต้องเรียก พี่อ้วน ที่เล่าประสบการณ์การบริหารจัดการองค์กรนวัตกรรมอย่าง STEP ตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่มีตึกเป็นของตัวเอง จนสร้างเป็น The Northern Science Park อันโด่งดัง

เอาว่า สรุป key สำคัญที่คิดว่า trigger ไปใช้งานได้ สัก 5 keys ละกัน

  1. Passion is a key คิดว่า การก่อกำเนิด เกิดจากการมี passion อันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเรียนอะไรมา เฉพาะทางอะไร background อย่างไหน หากมี passsion มันจะเหมือน fuel ในการผลักยานให้ขับเคลื่อนไปได้

  2. Dream work is Team work การหาทีมก่อตั้งที่ลงเรือลำเดียวกัน สำคัญมาก คนที่เริ่มต้นในการทำสิ่งที่ใหญ่ที่สุด คือคนที่ต้อง โน้มน้าวให้เห็นความฝันร่วมกันได้ และ founder STEP ได้ทำสิ่งนั้น

  3. If you need to go to the mountain, you need to build stepping stone การจะขึ้นไปยังภูเขาได้ ต้องก้าวและก่อสร้างด้วยหินทีละก้อนแล้วเดินไป คือ ทางข้างหน้ามัน uncertainty นะ แต่การก้าวทีละก้าว จะทำให้เห็น small win

  4. CEO is a DNA of organization หัวหน้าเป็นยังไง ทีมก็เป็นยังงั้นหนะแหละ ดังนั้น organization culture ที่ยิ่งใหญ่ CEO สำคัญ

  5. Agility - ready to change คือ เปลี่ยนตลอดเวลา ความล้มเหลวคือขนมหวาน กินแล้ว burn มันไปซะ ไม่อ้วนหรอก

Ok ตอนเย็นเราไปทานอาหารกัน

หัวค่ำร้านอาหาร เล เล ฟอง หน้าบ้านเราเลย มื้อนี้ ก็ทำการ แนะนำตัว มีฉายา ที่ให้แต่ละท่านเลือกมาตั้งแต่อยู่ใน class อืม บางคน ฉายาก็เอามาจากลักษณะตัวตน บางท่านก็จากสิ่งที่นึกออกตอนนั้น บางท่าน ไม่ว่างตั้งก็กลายเป็น ฉายา Unknown ฉายา ดีนะ มันบ่งบอก 2 แบบ คือ 1. คุณมองตัวเองอย่างไร 2. คนอื่นมองตัวคุณอย่างไร แล้วแต่ว่า ฉายานั้น คุณเอาจากที่คุณมองตัวเอง หรือ คนอื่นมองคุณ ส่วนผมนั้น อาจจะแปลกสักหน่อย เพราะใช้ “แมวดำ” ไม่มีอะไรมากคิดถึง แมวดำ blacky ที่เพิ่งถูกรถชนตายเมื่อวาน

ผู้เข้าร่วมผจญภัย มีตั้งแต่ introvert, extrovert แต่ผมคิดว่า หลาย ๆ คนเป็น ambivert เสียมากกว่า เป็น introvert ที่เข้าสังคม Ok อาจฟังดู weired หน่อย แต่ตัวเองก็เป็น

ในวงสนทนา Around the Table: The Missions, and The Persons

สมัยตั้งแต่อยู่อังกฤษแล้ว การสนทนาด้วยการยืนถือแก้วเบียร์ใน english pub แทบจะเป็น tradition ของการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองกับผองเพื่อน หรือ อาจารย์ ที่ไม่มีกรอบ ที่นี่ผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน

ในบรรดา Mission ที่มีแขกรับเชิญ มีท่านนึงที่ จะมาพูดคุยให้ฟัง คือคุณ Jeep Kline อ้า คุณ Jeep Kline นี่ เคยได้ฟังทาง Podcast ของ Silicon Valley และ ทาง Thai Tech Startup ก็เคยเชิญมา Talk ที่ กทม แต่เราไม่มีโอกาสได้ไปฟังนะ

ประวัติย่นย่อ ของ Jeep Kline

Jeep Kline (จี๊ป ไคลน์) เป็นนักธุรกิจไทยที่มีประสบการณ์หลากหลายด้าน ทั้งเศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี และการลงทุนในธุรกิจร่วมทุน (Venture Capital) เธอเริ่มต้นศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียปี 1997 ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เธอเลือกเส้นทางอาชีพนี้ หลังจากจบการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา เธอทำงานที่ธนาคารโลก (The World Bank) และได้เดินทางไปยังตลาดเกิดใหม่หลายแห่ง เช่น แอฟริกา ยุโรปตะวันออก ลาตินอเมริกา และเอเชีย ทำให้เธอได้รับประสบการณ์ในด้านการจัดการเงินทุนขนาดใหญ่

เมื่อสังเกตเห็นการเติบโตของเทคโนโลยี จี๊ปจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเข้าสู่วงการเทคโนโลยี โดยย้ายไปที่ซิลิคอนแวลลีย์และเข้าศึกษาต่อในระดับ MBA ที่ UC Berkeley หลังจากนั้นเธอเข้าร่วมงานกับบริษัท Intel และมีส่วนร่วมในการเปิดตัวแท็บเล็ตที่ใช้ระบบ Google เป็นหนึ่งในรุ่นแรกๆ ซึ่งได้วางจำหน่ายในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก หลังจากที่ประสบความสำเร็จในวงการเทคโนโลยี เธอได้หันมาทำงานด้านการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี และก่อตั้งกองทุนร่วมลงทุน Translational Partners ในซิลิคอนแวลลีย์ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในผู้ประกอบการที่มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลก ปัจจุบัน จี๊ป ไคลน์ ยังเป็นส่วนหนึ่งของ MrPink VC และเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนธุรกิจ Haas ของ UC Berkeley ซึ่งเธอสอนเกี่ยวกับการลงทุนร่วมทุนและการลงทุนที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม​

แต่เอาจริงๆ คือ สงสัย เราจะไม่ได้เข้าร่วมพบแฮะ เพราะว่า เหมือนวันนั้น ต้องไปประชุมที่ Spain นี่สิ เสียดายสุด

ส่วน Mission อื่น ๆ ที่น่าสนใจและทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมคือ การได้มาพบกับพี่เล้งในการใช้ทฤษฎี เต้า เต๋อ จิง ในการบริหารคน เพราะบังเอิญไปฟัง podcast ทีคุยใน the standard มาครับ เลยอยากเรียนรู้ เพราะเชื่อว่า นวัตกรรมสำเร็จ คือการบริหารคน เพราะคนนั้น สร้างนวัตกรรม ไว้คงจะได้เล่าให้ฟัง

วันนี้ เท่านี้ก่อน ไว้วันหลังมาเล่าให้ฟัง เพราะไวน์มื้อนี้ ทำเอารุ่งขึ้นมึนหัวครับ

#Excham #Exchamseason2 #exchamleader #Tobethergamechanger

ถ้าอยากสำเร็จ ก็ดึงตะปูออกจากหัวคุณซะ

Added on by Surattanprawate.

คุณฟังเสียงของตัวคุณไหม ลองเดินตามมันไปสิ

เสียงภายในของเราบางครั้งก็เงียบเสียจนเรามองข้ามไป ไม่กล้าเดินตามมัน เพราะความกลัวและความไม่มั่นใจที่อยู่ในใจเรา แต่เชื่อหรือไม่ว่าหลายคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ต่างก็เริ่มต้นด้วยการฟังและเดินตามเสียงภายในนี้เอง

ความล้มเหลวของคนส่วนใหญ่

คนส่วนใหญ่มักพบว่าตัวเองติดอยู่ในวังวนของการล้มเหลว ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถหรือขาดโอกาส แต่เพราะพวกเขาไม่กล้าฟังและเดินตามเสียงภายในของตัวเอง ความกลัวที่จะล้มเหลว ความกลัวที่จะไม่เป็นที่ยอมรับ หรือแม้แต่ความกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง ทำให้หลายคนยังคงอยู่ในสถานะที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา

Graham Weaver การสร้างความสำเร็จ

Graham Weaver ผู้ก่อตั้ง Alpine Investors และอาจารย์ที่ Stanford Graduate School of Business ได้แชร์ประสบการณ์ชีวิตของเขาใน Talk ที่ทรงพลัง Weaver เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากในชีวิตการทำงาน เมื่อเขาเริ่มฟังเสียงภายในของตนเอง และกล้าที่จะออกจากงานที่ไม่เติมเต็ม เพื่อก้าวสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่มีความหมายมากขึ้น

Weaver ได้กล่าวว่า “ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในชีวิต คุณต้องฟังเสียงที่แท้จริงของตัวเอง” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของความกลัวหรือความสงสัย แต่เป็นเสียงที่มาจากจิตวิญญาณที่แท้จริงของคุณ Weaver แนะนำให้เราฟังเสียงนี้และก้าวไปตามเส้นทางที่มันชี้นำ เพราะนั่นคือเส้นทางที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง

เขายังได้แบ่งปันหลักการ 3 ข้อที่สำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถบรรลุศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่:

1. ดึงตะปูออกจากหัวของคุณ - หมายถึงการระบุและขจัดอุปสรรคที่ทำให้คุณติดอยู่ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความไม่สบายใจก็ตาม

2. ทำตามพลังงานของคุณ - ค้นหาสิ่งที่ให้พลังงานและทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้น แล้วเดินตามมันไป

3. ทุ่มเทอย่างเต็มที่ - มุ่งมั่นในเส้นทางของคุณโดยไม่มีความลังเล ยอมรับความท้าทายและโอกาสที่มาพร้อมกับมัน

การเดินตามเสียงภายในอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อคุณเริ่มฟังและทุ่มเทให้กับมัน คุณจะพบว่าชีวิตของคุณเต็มไปด้วยพลังและความหมายที่แท้จริง

วงกลมทองคำ The Golden Circle: The Process, The Product and The Successor

Added on by Surattanprawate.

Golden circle หรือวงกลมส่วนผสมทองคำสำหรับความสำเร็จ เป็นองค์ประกอบสร้างขึ้นโดยนักคิด เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมว่า ความสำเร็จเกิดขึ้นได้อย่างไร อาจเป็นส่วนผสมของวิธีคิด ส่วนผสมของการทำงาน หรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ ขึ้นกับว่า เป้าหมายคืออะไร อจ. รวม 3 วงกลมสีทอง อันได้แก่ กระบวนการคิด บุคคล และ ผลิตภัณฑ์มาให้อ่านกัน เพื่อจะได้ทราบส่วนที่ต้องประเมินและเพิ่ม ฝึกฝนส่วนที่ขาดได้

“The Process”: Golden Circle by Simon Sinek

สำหรับ กรอบแนวคิดวงกลมทองคำ (Golden Circle) ของ Simon Sinek ซึ่งเน้นที่การตั้งคำถามในการพัฒนาที่เป็นการเน้นที่กระบวนการได้แก่ "ทำไม" (Why), "อย่างไร" (How), และ "อะไร" (What) นำเสนอมุมมองที่มีคุณค่าสำหรับการเข้าใจองค์ประกอบของความสำเร็จในผู้ประกอบการนวัตกรรม โมเดล่ ลักษณะนี้ เป็นส่วนที่เป็นรูปแบบการพัฒนาว่า ควรเริ่มกระบวนการคิด ที่มีการตั้งคำถามอะไรก่อน และเป็นการตั้งคำถามในการพัฒนา product ว่า “ผู้คนไม่ได้ซื้อของเพราะว่า คุณทำอะไร เค้าซื้อว่าคุณทำมันไปทำไม”

“The Successors”: The Element of Success

นอกเหนือจาก process แล้ว องค์ประกอบองค์ประกอบทองคำที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของความสำเร็จของผู้ประกอบการ (entrepreneurship) การเป็นผู้ประกอบการ ไม่ง่าย และหากว่าคุณรู้จักคำว่า entrepreneurs จริง ๆ แล้ว มันได้ได้แปลว่า ผู้ประกอบการ หรอก

ที่มาของ Entrepreneurs มีต้นกำเนิดมาจากภาษาฝรั่งเศส "entreprendre" ซึ่งหมายถึง "ผู้รับผิดชอบ" คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกในศตวรรษที่ 16 เพื่ออ้างถึงนักผจญภัยและผู้นำทหารที่ต้องรับผิดชอบในการทำภารกิจ

ในศตวรรษที่ 18 นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Richard Cantillon ได้ใช้คำนี้เพื่ออธิบายบุคคลที่ทำธุรกิจและรับความเสี่ยงเพื่อผลกำไร การใช้งานในปัจจุบันเน้นถึงการสร้าง โอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจ และการแบกรับความเสี่ยง (Linkedin meaing of entrepreneurs)

การทำงานร่วมกันของความหลงใหล (passion), พรสวรรค์ (talent), คุณค่า (value), และทักษะ (skill)

ส่วนประกอบทั้ง 4 ส่วนนี้ จริง ๆ ได้มีการกล่าวถึงในแง่ของ purpose of life หรือ การประสบความสำเร็จ ไปยังจุดมุ่งหมายของชีวิต โดยที่มัน link (>> Link) เราสามารถนำส่วนประกอบนี้ มาประเมินถึงความเป็นไปได้ของความสำเร็จของความเป็นผู้ประกอบการได้ด้วย โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เรารู้ว่า เราต้องปรับ เพิ่มอะไร ดังคำกล่าวที่ว่า

"Find what is present, fill what is missing, expand what is strong." “หาส่วนที่มี เติมส่วนที่ขาด ขยายส่วนที่แกร่ง”
  • passion คุณจะเรียกแรงผลักดัน หรือ พลังใจก็ได้ หากไม่มี ก็ต้องสร้าง inspiration ให่เขาเหล่านี้ ผู้กล้าที่ออกมาแถวหน้าอย่างท้าทาย

  • talent ผู้ที่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ มันคือ inate ที่ฝังใน DNA มันคือพรสวรรค์ที่เกิดโดยธรรมชาติ เสมือน superman ที่มีพลังด้านใน

  • values คุณค่า ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง หรือ ความรู้ หรือ network นี่แหละ คือ สิ่งที่สำคัญ ของคนนั้น

  • skills คือสิ่งที่ได้จากการฝึกฝน ลงมือทำจริง ล้มลุกกับมัน

    นวัตกรรมเหมือนแทงม้า อย่าดูแต่ม้าดี ดูที่ jockey ด้วย และองค์ประกอบทั้ง 4 ส่วน หาก ขาดส่วนไหน ก็เติมให้ครบ แกร่งส่วนไหนก็ขยายให้เป็นประโยชน์ เป็นข้อได้เปรียบที่คนอื่นตามได้ยาก

“The Innovative Products”: Thinking with design

รวมถึงหลักการของการคิดเชิงออกแบบ (design thinking) ที่ประกอบด้วยความต้องการ (desirability), ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ (viability), และความเป็นไปได้ทางเทคนิค (feasibility) >> Link

กระบวนการคิดเชิงออกแบบที่ประกอบด้วยความต้องการ ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และความเป็นไปได้ทางเทคนิค ช่วยให้แน่ใจว่านวัตกรรมสอดคล้องกับตลาด ความต้องการมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ความเป็นไปได้ทางธุรกิจประเมินความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของนวัตกรรม และความเป็นไปได้ทางเทคนิคทำให้แน่ใจได้ว่าผลิตภัณฑ์สามารถพัฒนาและส่งมอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยการรวมกรอบแนวคิดวงกลมทองคำเข้ากับองค์ประกอบเหล่านี้ ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้อย่างมาก ผู้ที่มีความหลงใหลและเข้าใจความต้องการของผู้ใช้อย่างลึกซึ้งมีแนวโน้มที่จะสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่า ผู้ประกอบการที่มีความสามารถสามารถใช้ทักษะของพวกเขาเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีความเป็นไปได้ทางเทคนิคและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในที่สุด นวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จต้องรวมเอาข้อเสนอคุณค่าที่น่าสนใจเข้ากับโมเดลธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ

ผู้ประกอบการนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุม ซึ่งพิจารณาทั้งความสามารถภายในของผู้ประกอบการและพลวัตของตลาดภายนอก โดยการจัดแนวความหลงใหล ความสามารถ คุณค่า และทักษะให้สอดคล้องกับหลักการของความต้องการ ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และความเป็นไปได้ทางเทคนิค ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า แต่ยังสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

สรุปได้ว่า กรอบแนวคิดวงกลมทองคำนำเสนอวิธีการที่มีโครงสร้างสำหรับการเข้าใจองค์ประกอบหลักของผู้ประกอบการนวัตกรรม โดยการพิจารณาการทำงานร่วมกันของความหลงใหล ความสามารถ คุณค่า ทักษะ ความต้องการ ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และความเป็นไปได้ทางเทคนิคอย่างรอบคอบ ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จและมีผลกระทบต่อสังคมได้

ชาร์ลี มังเกอร์: พลังแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการอ่าน

Added on by Surattanprawate.

หากคุณเคยสงสัยว่าอะไรคือความลับเบื้องหลังความสำเร็จด้านการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ คุณมักจะพบว่าชาร์ลี มังเกอร์อยู่เคียงข้างเขาเสมอ ที่อายุ 100 ปี ชาร์ลี มังเกอร์ที่ยังกระฉับกระเฉง เผยเคล็ดลับตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ถึง พลังของการเรียนรู้ตลอดชีวิตและนิสัยการอ่านที่เปลี่ยนแปลงชีวิต

The habit of success: ความมุ่งมั่นในการอ่านตลอดชีวิต

กิจวัตรประจำวันของชาร์ลี มังเกอร์แตกต่างจากความวุ่นวายที่คุณอาจคาดหวังจากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ อาวุธลับของเขาคืออะไร? หนังสือ จำนวนมาก มังเกอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นนิสัยที่เขารักษาไว้ตลอดชีวิต นี่ไม่ใช่แค่การอ่านพาดหัวข่าวหรือพลิกอ่านนิยายเป็นครั้งคราว มังเกอร์ดำดิ่งลึกลงไปในหัวข้อต่างๆ ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์และกฎหมายไปจนถึงปรัชญาและพฤติกรรมมนุษย์

Attitude: ความอยากรู้อยากเห็นและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ทัศนคติของมังเกอร์มีรากฐานมาจากความเชื่อที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง: ความรู้ทบต้นทบดอก เหมือนดอกเบี้ยจากการลงทุนที่ดี เขาขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันสิ้นสุดและความปรารถนาที่จะเข้าใจโลกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทัศนคตินี้ไม่ใช่แค่การสะสมข้อเท็จจริง แต่เป็นการเชื่อมโยงความรู้จากหลากหลายสาขา ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจของเขา

Integrative ideas: แบบจำลองทางความคิดและการคิดข้ามสาขา

หนึ่งในแนวคิดทางปรัชญาที่สำคัญของมังเกอร์คือแนวคิดเรื่อง "แบบจำลองทางความคิด" (mental models) ซึ่งเป็นกรอบความคิดเพื่อทำความเข้าใจว่าโลกทำงานอย่างไร โดยดึงมาจากสาขาวิชาต่างๆ เช่น จิตวิทยา คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ มังเกอร์เชื่อว่าการพัฒนาโครงข่ายของแบบจำลองเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ที่ซับซ้อนและตัดสินใจได้ดีขึ้น

เขาเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการคิดแบบสหวิทยาการอย่างเต็มที่ มักจะอ้างคำพูดของชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 ว่า "คนที่รู้เพียงสาขาเดียว แท้จริงแล้วไม่รู้แม้กระทั่งสาขานั้น" แนวทางของมังเกอร์สนับสนุนให้เราก้าวออกจากกรอบความรู้เฉพาะด้านและดึงความรู้จากแหล่งที่หลากหลาย

การเรียนรู้ทัศนคติ พฤติกรรมและการใช้ชีวิตของผู้ที่ก้าวสู่ความสำเร็จ อาจไม่ใข่ทางลัด แต่เป็นเหมือนแสงไฟจากประภาคารที่ส่องให้เราเห็นและก้าวเดินตาม

Exploration vs. Exploitation ในโลกของนวัตกรรม: มุมมองในการพัฒนา 2 ด้าน

Added on by Surattanprawate.

มาสอนที่ มหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวงในการทำนวัตกรรม สิ่งหนึ่งที่เป็นคำถาม สำหรับพยาบาลนักนวัตกร คือ เราควรมุ่งมั่นในการสร้างสิ่งใหม่เลย หรือ พัฒนาสิ่งมีอยู่เดิมให้ดียิ่งขึ้น

เอาจริงๆ คำถามนี้คือคำถามว่า Explore และ Exploit นั่นเอง

ขอเริ่มขยายความ wording เลยดีกว่า!

Exploration ก็คือการ "สำรวจ" หรือ "ค้นหา" สิ่งใหม่ๆ นั่นเอง ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ไม่เคยไปมาก่อน แล้วตัดสินใจสั่งเมนูแปลกๆ ที่ไม่เคยกิน นั่นแหละครับคือ Exploration! ในโลกของธุรกิจ มันก็เหมือนกับการที่บริษัทลองทำอะไรใหม่ๆ เช่น พัฒนาเทคโนโลยีล้ำๆ หรือเข้าไปทำตลาดในประเทศที่ไม่เคยไปมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันมีความเสี่ยง แต่ถ้าสำเร็จ ผลตอบแทนก็อาจจะเยอะมหาศาลเลยทีเดียว

ส่วน Exploitation นี่ก็คือการ "ใช้ประโยชน์" จากสิ่งที่มีอยู่แล้วนั่นเอง กลับมาที่ตัวอย่างร้านอาหาร ถ้าคุณไปร้านประจำแล้วสั่งเมนูโปรดที่กินทุกครั้ง แชะก็อาจจะลองใส่เครื่องปรุงใหม่ๆ นั่นก็คือ Exploitation! ในแง่ธุรกิจ มันก็เหมือนกับการที่บริษัทพยายามทำสิ่งที่เขาถนัดให้ดีขึ้นไปอีก เช่น ปรับปรุงสินค้าที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือหาวิธีลดต้นทุนการผลิต ซึ่งอันนี้ความเสี่ยงก็จะน้อยกว่า และมักจะเห็นผลเร็วกว่าด้วย

คำว่าปรับปรุง นี่ อจ. ชอบนะ คือปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น แล้วปรุงแต่งให้ใช้ได้

ทีนี้ ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า อะไรดีกว่ากัน แลเราจะทำยังไงให้สมดุลระหว่างสองอย่างนี้ดีล่ะ?

แต่จริงๆ แล้ว การทำแบบใดแบบหนึ่งล้วนๆ มันก็ไม่ดีนะครับ ถ้าเน้น Exploration อย่างเดียว ก็อาจจะเจ๊งก่อนที่จะได้เห็นผลสำเร็จ แต่ถ้าทำแต่ Exploitation ก็อาจจะตกยุคตามคนอื่นเขาไม่ทันในระยะยาว

เพื่อนผมคนหนึ่งที่ทำธุรกิจ Startup เคยบอกว่า เขาใช้วิธีแบ่งเวลาและทรัพยากรออกเป็นสัดส่วน 70-30 ครับ คือ 70% ก็ทุ่มไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น (Exploitation) ส่วนอีก 30% ก็เอาไปลองทำโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่อาจจะเวิร์คหรือไม่เวิร์คก็ได้ (Exploration) ซึ่งผมว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ

สุดท้ายนี้ ผมว่าไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือแม้แต่มนุษย์เงินเดือนธรรมดา การรู้จักสมดุลระหว่าง Exploration กับ Exploitation ก็สำคัญมากๆ นะครับ บางทีลองออกจาก Comfort Zone ไปทำอะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ก็อย่าลืมพัฒนาสิ่งที่เราถนัดอยู่แล้วให้ดีขึ้นด้วย

เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว" หรือ Status Quo Bias

Added on by Surattanprawate.

”งานที่ทำก็ดีอยู่แล้วนี่ ทนๆไป หัวหน้าแย่แต่ก็ไม่เลว“

“แฟนฉัน ก็เป็นคนแบบนี้ แม้จะขี้เกียจ ไม่ทะเยอทะยานหาความก้าวหน้า แต่ก็ ok เปื่อยๆ ดี”

- เรามันยืนที่เดิมและหาเหตุผลที่จะก้าวออกจากสถานะเดิมเสมอ“

เรามักคุ้นเคยกับสิ่งเดิมๆ รอบตัว จนเกิดความรู้สึกว่า "เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว" ทำให้เราขาดแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลง นี่คืออคติที่เรียกว่า Status Quo Bias หรือ ความลำเอียงที่ยึดติดกับสถานะปัจจุบัน

Status Quo Bias ทำให้เราเกิดความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะดีกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะรู้สึกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนั้นสูงเกินไป แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น เราจึงเลือกที่จะอยู่กับสภาพเดิม แม้ว่ามันจะไม่ดีก็ตาม

ทาง psychology เรื่องของ Status Quo bias เป็นเรื่องที่มนุษย์คิดไม่อยากปรับตัว เพื่อหลีกหนีความเสี่ยง

แต่อคตินี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตเราหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจในการทำงาน การลงทุน การสร้างความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เราต้องตระหนักถึงอคตินี้ เพื่อให้สามารถมองเห็นโอกาสและทางเลือกใหม่ๆ ที่อาจดีกว่าสภาพปัจจุบัน

การเอาชนะ Status Quo Bias ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง ความกล้าที่จะเสี่ยง และเหตุผลที่เข้มแข็งในการตัดสินใจ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่า "เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว" ให้หยุดและตั้งคำถามตัวเองว่า นี่เป็นเพียงอคติกำลังครอบงำความคิด หรือเป็นการตัดสินใจที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วจริงๆ บางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจนำพาชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า​​​​​​​​​​​​​​​​

What the hell is water?

Added on by Surattanprawate.

ในน่านน้ำแห่งหนึ่ง ของวันธรรมดาวันหนึ่ง

วันธรรมดาของปลาตัวหนึ่ง

ปลาสูงวัย ว่ายน้ำสวนกับปลาหนุ่มรุ่นกระทง พยักหน้าให้พวกมันแล้วพูดว่า "สวัสดีตอนเช้า หนุ่มๆ น้ำเป็นไงบ้าง?"

ปลาหนุ่ม สองตัว ว่ายน้ำไปสักพัก ปลาตัวหนึ่งมองไปที่อีกตัวแล้วถามว่า "น้ำคืออะไรวะ ?"

นิทานสั้นของ นักเขียน เดวิด ฟอสเตอร์ วอลเลซ ใช้เป็นตัวอย่างแนวคิดว่า บางครั้งเราก็จมอยู่กับบางสิ่งบางอย่างมากมาย จนมันกลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นสำหรับเรา ในกรณีนี้ น้ำหมายถึง สภาพแวดล้อมหรือวัฒนธรรมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา และเราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันส่งผลต่อเรายังไง เพราะมันฝังรากลึกอยู่ในการดำรงชีวิตของเรานั่นเอง

อจ สุรัตน์

Coca Cola - Beauty Accident: the Discovery originate from Mistake

Added on by Surattanprawate.

การค้นพบ อาจเกิดจากความไม่ตั้งใจ อาจเกิดจากเหตุพลาดพลั้ง หรือ ความบังเอิญที่เกิดจากสถานการณ์ที่บีบบังคับ

เมื่อพลาดพลัง สิ่งสวยงามอาจบังเกิด บางคนหยิบฉวย บางคนปล่อยผ่าน

เมื่อบังเอิญ บางคนค้นพบ บางคนต่อยอด บางคนละเลย

https---cdn.cnn.com-cnnnext-dam-assets-181120134641-coca-cola-john-pemberton.jpg

ในช่วงสงครามกลางเมือง ในปี ค.ศ. 1886 เภสัชกร จอห์น พิมเบอร์ตัน ผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ที่ให้ยากับทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบด้วยยาแก้ปวดมอร์ฟีน และโชคไม่ดี ที่เขาก็ต้องมีการใช้ มอร์ฟีนในการระงับบาดแผลที่เกิดจากสงครามให้แก่ตัวเองด้วย และมันก็ทำให้เขาติดมอร์ฟีน ด้วยการมีความรู้ด้านยา จอห์นก็ทราบว่า การใช้ยามอร์ฟีนในการระงับปวดนั้น มีผลเสียอย่างไรในระยะยาว แต่มันอาจไม่ง่ายนักในการหักดิบ ในขณะที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการระงับความเจ็บปวดจากบาดแผลอยู่

สถานการณ์ ทำให้จอห์น ต้องหาตัวยาที่มาใช้แทนมอร์ฟีนให้ได้ และสิ่งที่เขาได้ค้นพบก็คือส่วนผสมมหัศจรรย์ที่ ใช้ Coca (Cocaine) ในการระงับปวด และ บำบัดการติดมอร์ฟีนหรือฝิ่นได้ โดยผลิตส่วนผสมของ coca leaves และ kola nuts และมีส่วนผสมของ alcohol ที่เรียกเครื่องดื่มนี้ว่า “French Wine Coca” แต่ต่อมา กฎหมายได้กำหนด ให้เครื่องดื่มห้ามผสม alcohol จึงได้มีการปรับให้ไม่มีส่วนผสมของ alcohol อีกต่อไป และ เครื่องดื่ม Coca-Cola ก็ถือกำเนิดขึ้น และ ถือเป็นเครื่องดื่มที่ทรงพลังที่สุดในโลก

บางการค้นพบเป็นสิ่งบังเอิญ และ กลาย เป็นความสวยงามที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลก